ภาคกลาง

วัดศรีบัวบาน

ถึงตัวจะห่างวัด แต่หัวใจไม่ห่างบุญ ชุดถวายพระวัดศรีบัวบาน

ประวัติวัดศรีบัวบาน

บ้านศรีบัวบานเดิมชื่อ บ้านจำบอนนอก เป็นหมู่บ้านที่แยกอกจากบ้านจำบอนในเมื่อปี พ.ศ. 2368 สาเหตุที่แยกออกมาเพราะต้องการที่จะมีหมู่บ้านและที่ทำกินเป็นของตัวเอง เขตบ้านจำบอนนอกและจำบอบในมีเพียงร่องน้ำ (ฮ่องบอน)เป็นเขตแนวกั้น แรกตั้งจะมีหมู่บ้านเพียงแค่ 7-8 หลังคาเรือนเท่านั้น ต่อมาได้มีคนอพยพเข้ามาอยู่อีกหลายครอบครัว สถานที่ตั้งบ้านเรือนในตอนแรกตั้งอยู่บริเวณดอยโอสถ และบริเวณดอยเจดีย์ 3 องค์ ในขณะนั้นได้มีการสร้างวัดเพื่อเป็นศูนย์รวมจิตใจของคนในหมู่บ้าน วัดแห่งแรกชื่อว่าวัด “ศรีดอนรอม” สำหรับอาชีพของคนในหมู่บ้าน ส่วนใหญ่ทำนา ทำสวน เผาหินปูนขาวและหาของป่า ต่อมาบริเวณที่อยู่อาศัยเกิดน้ำท่วมขัง เนื่องจากเป็นที่ราบลุ่มผู้คนจึงได้อพยพมาอยู่ทางทิศตะวันออกของหมู่บ้านเพราะเป็นที่ราบค่อนข้างสูงน้ำท่วมไม่ถึง พอมาตั้งรกรากในที่แห่งใหม่ผู้คนก็ได้อพยพมามากขึ้น บางครอบครัวได้ชวนเครือญาติเข้ามาอาศัยในหมู่บ้านนี้ประมาณ 100 กว่าหลังคาเรือน ชาวบ้านจึงเริ่มสร้างวัดแห่งใหม่ เนื่องจากวัดเดิมที่เคยสร้างอยู่ห่างไกลจากหมู่บ้านมาก วัดใหม่สร้างขึ้น ชื่อว่า วัดศรีบัวบาน ซึ่งเป็นวัดที่มีมาอยู่จนปัจจุบันนี้ สำหรับที่มาของชื่อวัดศรีบัวบาน เพราะที่หน้าวัดมีต้นโพธิ์อยู่ 3 ต้น ต้นโพธิ์น้ำ ภาษาพื้นบ้านเรียกว่า ไม้สะหรี หรือต้นไม้ศรี และยังมีหนองน้ำมีดอกบัวขึ้นมากมายเต็มหน้าวัด คนในหมู่บ้านจึงพร้อมใจกันตั้งชื่อว่า วัดศรีบัวบาน ตามชื่อต้นไม้เหล่านี้ และต่อมาหมู่บ้านก็เปลี่ยนชื่อจากบ้านจำบอนนอกเป็นบ้านศรีบัวบาน มาจนปัจจุบัน

คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล

คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล

วิชาการแพทย์ไทยแต่เดิมพัฒนาจากการใช้ยาสมุนไพรและรับการรักษาจากหมอยาตำราหลวงตามแบบแผนอย่างไทย ต่อมาเมื่อมีคณะมิชชันนารีจากต่างประเทศเข้ามาเผยแผ่ศาสนาพร้อมกับวิทยาการทางการแพทย์แผนตะวันตกในช่วงปลายรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงได้เกิดรูปแบบการรักษาพยาบาลแบบใหม่ขึ้นในประเทศ ไม่นานในรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระราชประสงค์ให้จัดตั้งโรงพยาบาลขึ้น เพื่อจัดระเบียบและยกระดับมาตรฐานการแพทย์และการสาธารณสุขในประเทศให้สมกับความรุ่งเรืองของประเทศ พระองค์ทรงจัดตั้งคณะกรรมการขึ้น เมื่อวันที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2429 ประกอบด้วยผู้ทรงคุณวุฒิจำนวน 9 ท่าน คือ
  1. พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นสิริธัชสังกาศ เป็นนายก
  2. พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นดำรงราชานุภาพ
  3. พระเจ้าน้องยาเธอ พระองค์เจ้าศรีเสาวภางค์
  4. พระเจ้าน้องยาเธอ พระองค์เจ้าวัฒนานุวงศ์
  5. พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าสายสนิทวงศ์
  6. พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าปฤษฏางค์
  7. พระยาโชฏึกราชเศรษฐี
  8. เจ้าหมื่นสรรเพชรภักดี
  9. ดร.ปีเตอร์ เคาแวน แพทย์ประจำพระองค์
เป็นผู้ร่วมดำเนินการจัดตั้งโรงพยาบาลแห่งแรกของประเทศ คณะกรรมการได้กราบทูลขอแบ่งพื้นที่พระราชวังบวรสถานพิมุขด้านใต้อันเป็นพื้นที่หลวงร้างฝั่งธนบุรี เพื่อเป็นพื้นที่ก่อสร้างโรงพยาบาลและซื้อที่ริมข้างเหนือโรงเรียนของคณะมิชชันนารีอเมริกันเพื่อทำท่าขึ้นโรงพยาบาล และตั้งชื่อว่า “โรงพยาบาลวังหลัง”


     ในปี พ.ศ. 2430 ขณะกำลังก่อสร้างโรงพยาบาล สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าศิริราชกกุธภัณฑ์ ประชวรสิ้นพระชนม์ด้วยพระโรคบิด สร้างความโศกเศร้าพระราชหฤทัยแก่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและ สมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี พระวรราชเทวี เป็นอย่างมาก จึงมีพระราชประสงค์พระราชทานโรงพยาบาลเพื่อเป็นพระราชกุศล เมื่อเสร็จสิ้นงานพระเมรุพระราชทานเพลิงพระศพแล้ว ได้พระราชทานไม้ที่ใช้สร้างพระเมรุมาศจำนวน 15 หลังมาเป็นวัสดุสำหรับก่อสร้างโรงพยาบาลวังหลัง ทั้งยังได้พระราชทานพระราชทรัพย์ในส่วนของเจ้าฟ้าศิริราชฯ จำนวน 700 ชั่ง (56,000 บาท) เป็นค่าก่อสร้างอีกด้วย ตามพระราชปรารภของพระองค์ในพระราชหัตถเลขาถึงคณะกรรมการสร้างโรงพยาบาล ณ พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท ลงวันอังคาร เดือนอ้าย แรม 7 ค่ำ ปีชวดสัมฤทธิ์ศก จุลศักราช 1250 ใจความตอนหนึ่งว่า

     ภายหลังเกิดวิบัติเคราะห์ร้าย ลูกซึ่งเป็นที่รักตายเป็นที่สลดใจด้วยการที่รักษาเจ็บไข้ เห็นแต่ว่าลูกเราพิทักษ์รักษาเพียงนี้ ยังได้ความทุกขเวทนาแสนสาหัส ลูกราษฎรที่อนาถาทั้งปวงจะได้ความลำบากทุกข์เวทนายิ่งกว่านี้ประการใด ยิ่งทำให้มีความปรารถนาที่จะให้มีโรงพยาบาลมากยิ่งขึ้น ภายหลังกรมหมื่นดำรงราชนุภาพคิดการที่จะตั้งโรงพยาบาล ทำความเห็นมายื่น เห็นว่าเป็นทางที่จะจัดการตลอดได้ จึงได้ตั้งท่านทั้งหลายเป็นคอมมิตตีจัดการ แลได้ปรึกษากับแม่เล็กเสาวภาผ่องศรี มีความชื่นชมในการที่จะสงเคราะห์แก่คนที่ได้ความลำบากด้วยป่วยไข้นี้ด้วย ยอมยกทรัพย์สมบัติของลูกที่ตายให้เป็นส่วนในการทำโรงพยาบาลนี้ เป็นต้นทุน

ด้วยโรงพยาบาลศิริราชเป็นโรงพยาบาลที่ประชาชนจากทุกสารทิศได้เดินทางมาใช้บริการรักษาพยาบาลการเจ็บไข้ได้ป่วยมากจนสถานที่แออัดไม่สามารถบริการให้ประชาชนได้ทั่วถึง คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล จึงได้มีการจัดสร้างสถาบันการแพทย์สยามินทราธิราช

ซึ่งในการสร้างสถาบันการแพทย์สยามินทราธิราชนั้นต้องใช้ทุนทรัพย์จำนวนมาก เพราะค่าก่อสร้างรวมถึง อุปกรณ์ที่จะใช้ในการวิจัยทางการแพทย์นั้นมีราคาสูง ลำพังการสนับสนุนจากรัฐบาล และการเก็บรายได้จากผู้เข้ามารับบริการของโรงพยาบาลศิริราชคงไม่เพียงพอ และที่สำคัญปี 2554 ซึ่งได้เริ่มดำเนินโครงการฯมานั้น เป็นปีมหามงคลของปวงชนชาวไทยทุกหมู่เหล่าที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมีพระชนมพรรษา 84 พรรษา ซึ่งพระองค์ทรงมีพระราชดำริให้จัดสร้างสถาบันการแพทย์สยามินทราธิราชขึ้น

เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติด้วยมหากุศลที่ยิ่งใหญ่ ทางคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล และสมาคมศิษย์เก่าแพทย์ศิริราช ในพระบรมราชูปถัมภ์ จึงได้จัดทำโครงการสมทบทุนกองทุนเพื่อสถาบันการแพทย์สยามินทราธิราช และนำเทคโนโลยีสมัยใหม่ทางการแพทย์ไปสู่ชนบท โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ

1. ให้ประชาชนทุกหมู่เหล่าได้มีส่วนร่วมสืบสานพระราโชบายของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ทรงห่วงใย สุขภาพและพลานามัยของประชาชนชาวไทย ด้วยการร่วมทำบุญมหากุศล
2. สมทบทุนกองทุนเพื่อสถาบันการแพทย์สยามินทราธิราช ผ่านศิริราชมูลนิธิ
3. มอบเป็นกองทุนสมาคมศิษย์เก่าแพทย์ศิริราชในพระบรมราชูปถัมภ์ ผ่านศิริราชมูลนิธิ
4. เพิ่มศักยภาพให้กับแพทย์อยู่ในชนบททั่วประเทศ

และทั้งนี้ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล และสมาคมศิษย์เก่าแพทย์ศิริราชฯ ได้รับพระบรมราชานุญาตให้จัดสร้างพระ “สมเด็จศิริราชร้อยปี” เพิ่มเติมจากที่เคยจัดสร้างเป็นพระคะแนนและพระเนื้อผงมาแล้วเมื่อปี 2531 โดยได้รับพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้เชิญอักษรพระปรมาภิไธย ภ.ป.ร.ประดิษฐานไว้ด้านหลังองค์พระ รวมถึงพระราชทานผงจิตรลดา มาเป็นมวลสารด้วย นับว่าเป็นสิ่งที่ เป็นมงคลอย่างยิ่ง และในปี 2553 ที่ได้จัดสร้างเพิ่มเติมขึ้นมาใหม่นี้ เป็นพระพุทธรูปบูชา และเหรียญทองแดงรมดำ

นอกจากนั้นยังมีพระชุด “เบ็ญจภาคีมหามงคล” พระยอดขุนพลเนื้อชิน ซึ่งเป็นพระที่ควรคู่เก็บสะสมไว้บูชา โดยเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสโณ) ได้พระเมตตาถวายพระนามให้ พร้อมทั้งประทานอนุญาตให้นำนามของเจ้าประคุณสมเด็จเกี่ยวฯ ประทับด้านบนของกล่องบรรจุ รวมถึงประทานอนุญาตนำพระพุทธคุณลายนามเจ้าประคุณสมเด็จเกี่ยวฯ อ.อุ.ม. ประทับด้านหลังพระยอดขุนพลเนื้อชินทั้ง 5 องค์ นับว่าเป็นมหามงคลอย่างสูงยิ่งที่ยากจะหาโอกาสเช่นนี้ได้อีกแล้ว พระชุดนี้ได้มีการทำพิธีขออนุญาตจากวัดกรุต้นกำเนิดทั้ง 5 วัด เรียบร้อยแล้ว ใช้เวลาในการดำเนินการมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2551 และเสร็จสมบูรณ์ในปี พ.ศ.2554 ซึ่งทางคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล และสมาคมศิษย์เก่าแพทย์ศิริราชฯ จะได้มอบเป็นที่ระลึกมอบให้ผู้ที่ร่วมสมทบทุนกับโครงการฯในครั้งนี้

คุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม

     ในบรรดาแม่ชีผู้ปฏิบัติธรรมที่ได้รับการยอมรับว่า ท่านมีจิตอันบริสุทธิ์และเปี่ยมด้วยเมตตาจนสำเร็จถึงขั้น จตุตถฌาน หรือ ฌาน4 ก็คือท่านแม่ชีบุญเรือน โตงบุญเติม ซึ่งนอกเหนือจากการสำเร็จในฌาน ทั้ง 4 แล้ว แม่ชีบุญเรือน ท่านยังได้เพียรพยายามฝึกจิต และสมาธิอย่างแรงกล้า ทั้งได้ประกอบการบุญอันเป็นอานิสงส์แห่งชีวิตอย่างสูงส่ง จนท่านสำเร็จในอภิญญา 6 กล่าวคือ

1.อิทธิวิธี คือแสดงฤทธิ์ได้ ปรากฏว่าแม่ชีบุญเรือนได้กระทำมาแล้วหลายวิธี เช่น อธิษฐานต้นมะม่วงต้นเล็กๆ ให้ออกดอกได้ภายในคืนเดียว เดินกลางฝนไม่เปียก เรียกฝนให้ตกได้ ขอให้ฝนหยุดตกได้ ฯลฯ

2. ทิพโสต หรือที่เรียกว่าหูทิพย์ แม่ชีบุญเรือนสามารถบอกเล่าเรื่องราวที่คนอยู่ไกลๆ พูดกัน ให้คนใกล้ชิดท่านฟังได้อย่างถูกต้อง ฯลฯ

3. เจโตปริยญาณ อันได้แก่การกำหนดจิตให้แก่ผู้อื่น ในเวลาที่แม่ชีบุญเรือนสนทนากับใคร ไม่ว่าใครจะคิดหรือจะพูดอะไรกับแม่ชี ท่านก็สามารถทราบได้ด้วยฌานวิเศษของท่าน ฯลฯ

4. บุพเพนิวาสานุสสติญาณ ได้แก่การระลึกชาติได้ แม่ชีบุญเรือนได้เคยเล่าเรื่องราว ชาติภพก่อน ให้ลูกๆ และคณะศิษย์ ได้ฟัง รวม 3 ชาติ แม้ว่าเรื่องระลึกชาติ เป็นเรื่องที่พิสูจน์ยาก แต่แม่ชีบุญเรือนเป็นผู้ยึดมั่น

ในศีล 5 ก็ทำให้เชื่ออย่างมั่นคงว่าสิ่งที่ท่านพูดนั้นเป็นความจริง

5. ทิพจักษุ หรือตาทิพย์ การมองเห็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่พึงประสงค์ แม้ว่าสิ่งนั้นจะอยู่ห่างไกล ต่างบ้านต่างเมืองก็ตาม แต่เรื่องตาทิพย์นี้ ท่านได้เคยบอกเล่าให้คณะศิษย์ฟัง ฯลฯ

6. อาสวักขยญาณ คือ ทำให้พ้นจากทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ท่านได้สำเร็จในข้อนี้ ผู้ที่เดินทางมาหาท่านไม่ว่าจะใกล้หรือไกล จะยากดีมีหรือจน ก็จะได้รับความเมตตาเท่าเทียมกัน

     จากการที่ท่านได้อภิญญาทั้งหมด ทำให้แรงอธิษฐานธรรมประจุพระพุทธรูป และพระเครื่องสำคัญ รวมไปถึงสิ่งของต่างๆ มีความเข้มขลังศักดิ์สิทธิ์อย่างมาก รวมไปถึงพระเครื่องชุดสำคัญ คือ พระพุทโธองค์ใหญ่ ซึ่งได้จัดทำพิธีหล่อสร้างที่วัดสัมพันธวงศ์ เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2496 แล้วสมโภชครั้งใหญ่เมื่อวันที่ 4 ถึง 13 มีนาคม 2499 ก่อนจะอัญเชิญไปวัดสารนารถธรรมาราม อ.แกลง จ.ระยอง เมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2499 และประดิษฐานอยู่ในอุโบสถวัดสารนาถธรรมารามจนถึงปัจจุบัน ท่านอธิษฐานจิตให้ตลอดการดำเนินงาน


พระร่วงโรจนฤทธิ์

เมื่อ พ.ศ. 2451 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ครั้งยังทรงดำรงพระอิสริยยศเป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ได้เสด็จประพาสหัวเมืองเหนือ ได้ทอดพระเนตรพระพุทธรูปเก่าแก่หลายองค์ โดยเฉพาะองค์หนึ่งที่เมืองศรีสัชนาลัย มีพุทธลักษณะงดงามต้องพระราชหฤทัย แต่องค์พระชำรุดเสียหายมาก ยังคงเหลืออยู่แต่พระเศียรกับพระหัตถ์ข้างหนึ่งและพระบาท พอสันนิษฐานได้ว่าเป็นปางห้ามญาติ จึงโปรดเกล้าฯ ให้อัญเชิญลงมากรุงเทพฯ แล้วใช้ช่างปั้นขึ้นให้เต็มองค์ ครั้นเมื่อพระองค์ได้เสด็จเถลิงถวัลราชสมบัติแล้ว ต่อมาในปี พ.ศ. 2454 จึงโปรดเกล้าฯ ให้พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้ากฤษดาภินิหาร กรมพระนเรศร์วรฤทธิ์ เสนาบดีกระทรวงโยธาธิการ จัดทำประมาณการค่าใช้จ่ายในการหล่อปฏิสังขรณ์ และดำเนินการจัดหาช่างทำการปั้นหุ่นสถาปนาขึ้นให้บริบูรณ์เต็มองค์พระพุทธรูป เมื่อการปั้นพระพุทธรูปนั้นบริบูรณ์เสร็จ เป็นอันจะเททองหล่อได้แล้ว จึงโปรดเกล้าฯ ให้จัดการพระราชพิธีสถาปนาพระพุทธรูปพระองค์นั้นที่วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร ในวันที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2456 ซึ่งเป็นกับวันเฉลิมพระชนมพรรษา หล่อเสร็จได้องค์พระสูงแต่พระบาทถึงพระเกศ 12 ศอก 4 นิ้ว แล้วโปรดเกล้าฯ ให้อัญเชิญออกจากกรุงเทพฯ ในเดือนมกราคม พ.ศ. 2457 เพื่อไปประดิษฐานยังพระวิหารพระปฐมเจดีย์ เจ้าพนักงานจัดการตกแต่งต่อมาจนแล้วเสร็จในวันที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2458 ต่อมาวันที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2466 ระหว่างประทับแรม ณ พลับพลาเจ้าเจ็ด อำเภอเสนา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ได้ทรงพระอนุสรณ์คำนึงถึงพระพุทธรูปองค์นี้ว่ายังไม่ได้สถาปนาพระนาม จึงประกาศกระแสพระบรมราชโองการเมื่อวันที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2466 ถวายพระนามพระพุทธรูปองค์นี้ว่า พระร่วงโรจน์ฤทธิ์ ศรีอินทราทิตย์ธรรโมภาส มหาวชิราวุธราชบูชนิยบพิตร์

พระอาจารย์โชคดี วัดพิชยญาติการาม

ประวัติของ พระครูวศินปริยัตยากร (พระอาจารย์โชคดี) ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดพิชยญาติการาม วรวิหาร กรุงเทพมหานคร
นามเดิมชื่อ สมภูมิ นามสกุลเดิม ร่มโพธิ์ทอง เกิดเมื่อวันเสาร์ที่ 21 มี.ค.2513 ณ บ้านสาลี ต.สาลี อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี เป็นบุตรชายคนโตของพี่น้อง 4 คน เมื่ออายุได้ 7 ขวบ ท่านสนใจศึกษาอ่านเขียนและท่องมนตรากับคุณตาฆราวาสจอมขมังเวทยุคเก่า ได้รับสืบทอดวิชาอาคมและมนต์มหาเสน่ห์จากคุณตามาเต็มสูตร
หลังจากพระอาจารย์ได้เข้าสู่ทางธรรมแล้ว
พระอาจารย์มุ่งมั่นเรียนพระปริยัติธรรมสอบได้นักธรรมชั้นเอกและเปรียญธรรม 3 ประโยค และฝากตัวเป็นศิษย์เรียนวิปัสสนากรรมฐานกับหลวงพ่อสิงห์โต ซึ่งเป็นศิษย์หลวงพ่อช่อง กรรมฐานสายหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค อยุธยา จนเชี่ยวชาญดีแล้วก็ออกธุดงค์ไปตามป่าเขาลำเนาไพร
จากนั้นได้เดินธุดงค์เข้าไปในประเทศเขมรแถบพระตะบองและเมืองเสียมเรียบ ได้ศึกษาคาถาอาคมกับพระอาจารย์ชาวเขมร เรียนวิชาพญาไก่เถื่อนเรียกทรัพย์ เมตตามหานิยมโชคลาภ ด้วยจิตอันตั้งมั่น
ครั้งหนึ่งมีโอกาสไปเรียนวิชา “นะหน้าขุนแผน” ลงแป้งเสกแป้งวิเศษกับพ่อครูเฒ่าชาวมอญ จ.กาญจนบุรี โดยให้สัจจะว่าจะไม่เรียกพานครู (เงินทอง) จากใครทั้งสิ้น พร้อมช่วยเหลือทุกคนที่เข้ามาพึ่งใบบุญ
เป็นต้นตำรับ “นะหน้าขุนแผน” อันลือลั่น เพราะสืบสานวิชาสายรามัญ (มอญ) แต่เพียงรูปเดียว การลงนะตามตำรับรามัญมี 4 อย่าง ประกอบด้วย
1.นะหน้าขุนแผน ลงหน้าผาก เด่นและดีเรื่องเมตตามหานิยม ค้าขาย ใครเห็นใครรัก เจรจาธุรกิจราบรื่น ผู้ใหญ่เจ้านายเมตตารักใคร่ช่วยเหลือ เลื่อนยศเลื่อนตำแหน่งได้เร็ว
2.นะสาลิกาเรียกทรัพย์ ลงอักขระที่ริมฝีปาก ดีเรื่องเจรจาการค้า ธุรกิจ เหมาะกับดารานักร้องศิลปิน นักแสดงและอาชีพที่ต้องพบปะผู้คน
3.นะเรียกเงิน ลงที่มือขวา อุปมาว่ารับทรัพย์ หยิบจับอะไรก็เป็นเงินเป็นทอง ร่ำรวยล่ำซำ
4.นะเรียกทอง ลงยันต์นะที่มือซ้าย อุปมาว่า เรียกทรัพย์ต่างๆ มาครอบครองได้อย่างใจสมปรารถนา
ทั้งหมดนี้ คือประวัติของพระอาจารย์ โชคดี สาธุ
สำหรับวัตถุมงคลล่าสุดที่ได้รับการกล่าวขานกันมากคือ พระปิดตา รุ่น เสาร์ ๕ มหาโภคทรัพย์ พิธีพุทธาภิเษก วันเสาร์ ที่ 28 มีนาคม 2563 (วันเสาร์5) ณ วัดคลองเตยใน กรุงเทพฯ ซึ่งเป็นวัดต้นกำเหนิดพระสังกัจจายน์ปิดตา โดยมีพระเกจิอาจารย์ทั้งสี่ภาคร่วมอธิฐานจิต
จากนั้นพระอาจารย์โชคดี ปลุกเสกเดี่ยว ถือสัตย์วาจาไม่พูด 3 วันอธิษฐานจิตอย่างเข้มขลัง ตามตำราที่ได้เรียนจากครูบาอาจารย์มา เป็นเสร็จพิธี

พุทธสถานจีเต็กลิ้ม นครนายก

พุทธสถาน จี เต็ก ลิ้ม

          เที่ยวเมืองจีนในนครนายก เดินทางไปโลดที่ พุทธสถาน จี เต็ก ลิ้ม เข้าไปแล้วต้องตาโตร้องโหเลยทีเดียวล่ะ พุทธสถานแห่งนี้สร้างตามแบบสถาปัตยกรรมจีน ตามคติความเชื่อของมหายานโดยใช้หลักฮวง จุ้ย ถือเป็นศูนย์ส่งเสริมพระพุทธศาสนาไทย-จีน ให้ประชาชนเข้าใจมากขึ้น อีกทั้งมีโครงการส่งเสริมโรงเรียนด้วยการอุดหนุนเรื่องทุนอาหารกลางวัน การแจกอุปกรณ์การเรียน และเครื่องสาธารณูอุปโภคบริโภคต่าง ๆ อย่างสม่ำเสมอ

          จะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ชาติไหนเราก็กราบไหว้เพื่อเป็นสิริมงคลได้ใช่ไหม? มาที่นี่ต้องขอพรต่อเทพเจ้าแห่งโชคลาภ หรือองค์ไฉ่ซิ้งเอี๊ย ซึ่งเชื่อว่าคนไทยเราจะมีเชื้อจีนปนหรือไม่ย่อมต้องรู้จัก องค์ไฉ่ซิ่งเอี๊ยภายในพุทธสถาน จี เต๊ก ลิ้ม ประดิษฐานในปางมหาเศรษฐีชัมภล ที่ถือว่าใหญ่ที่สุดในประเทศไทย นอกจากนี้ภายในยังมีเทพเจ้าและพระโพธิสัตว์ตามความเชื่อของชาวจีนอีกหลายองค์เช่น เทพเจ้าเฮ่งเจีย เจ้าพ่อกวนอู เจ้าพ่อเสือ พระโพธิสัตว์กวนอิม พระไภสัชยคุรุพุทธเจ้า ท้าวจตุโลกบาลทั้งสี่ ขณะที่องค์พระพุทธรูปประธานของพุทธสถานก็สีทองอร่ามงดงามอย่างมาก

          : จากทางหลวงหมายเลข 305 (รังสิต-นครนายก) เมื่อถึงสี่แยกสามสาว ให้ตรงไปตามทางหลวงหมายเลข 3076 ประมาณ 22 กิโลเมตร จะพบทางแยกเข้าพุทธสถาน เปิดทุกวัน 07.00-18.00 น.

มูลนิธิส่งเสริมยุวเกษตรกรไทย ในพระราชูปถัมภ์

พุทธลักษณะ : ปางมารวิชัยขัดสมาธิราบ ศิลปกรรม : พระพุทธรูปศิลปะรัตนโกสินทร์ ทรงเครื่องประทับบนอาสนะบัลลังค์

ประกอบด้วยผ้าทิพย์ประดับลวดลาย พระเกจิที่ร่วมปลุกเสกในพิธี

1.พระภาวนาวิสุทธิโสภณ (พระมหาสุรศักดิ์) วัดประดู่ พระอารามหลวง จังหวัดสมุทรสงคราม

2.พระครูสมุห์คำนวณ ปริสุทโธ วัดแก้งเจริญ จังหวัดสมุทรสงคราม

3.พระครูมนูญสีลสังวร (หลวง่พอแถม) วัดช้างแทงกระจาด จังหวัดเพชรบุรี

4.พระอาจารย์เทพ กนตสีโล วัดละมุด จังหวัดสมุทรสงคราม

วัดคลองเตยใน กรุงเทพมหานคร

ประวัติความเป็นมา
วัดคลองเตยใน ถูกสร้างขึ้นเมื่อประมาณปีพุทธศักราช 2350 โดยราษฎรเป็นผู้จัดสร้าง อยู่ในเขตอำเภอพระโขนง จังหวัดพระนครในสมัยนั้น ทิศตะวันออกจรดคลองเตย (ที่เรียกว่าคอลงเตย เพราะเดิมสองฟากฝั่งคลอง เต็มไปด้วยต้นเตย ชาวบ้านจึงนิยมพายเรือมาเก็บใบเตยนำไปใช้ประกอบในส่วนของขนมไทย ปัจจุบันถูกถมทับเป็นบ้านเรือนประชาชนเกือบทั้งหมด) ทิศเหนือ ทิศตะวันตก และทิศใต้จรดคลังน้ำมันเชลล์ มีพื้นที่ทั้งหมดประมาณ 12 ไร่ เคยเป็นที่ตั้งของสโมสรไลออนส์ดุสิต กรุงเทพฯ และเป็นที่ตั้งฝ่ายสาธารณสุข เทศบาลนครกรุงเทพ ปัจจุบันเหลือเพียงโรงเรียนวัดคลองเตยตั้งอยู่ในบริเวญข้างวัดเท่านั้น
แสดง   10 20 30